วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทริป ล่องแพ...ใครกลัวน้ำ อด!!


เที่ยวอีกแล้ว.......หลายคนมักจะ อุทานออกมาเสมอเมื่อคนสวยบอกว่าจะไปที่ไหน

อืมมม....ท่าจะชอบเที่ยวเสีย จริงๆๆๆๆ

จริงๆแล้วก็ไม่อยากเอามา เขียนให้ใครที่ผ่านมาแล้วบอกว่า"อีกและ....เที่ยวอีกและ....มีที่ไหนยังไม่ ได้ไปบ้่างเนี่ย"

แต่คิดดูอีกที เอามาเขียนไว้ดีกว่า เกิดมีใครผ่านมา อาจจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มองหาที่เที่ยวในเมืองเชียงใหม่

ขนาดว่าเราเอง ใครต่อใครก็บอกว่า เที่ยวเก่ง ยังไม่รู้เลยว่า ที่แม่วางก็มีปางช้าง มีล่องแพ ผจญภัยกับเขาด้วย




เมื่อวาน อยู่ๆน้องๆก็ชวนว่า ไปล่องแพกันมั้ย......แบบไม่ได้ตั้งตัวตั้งใจ

บางคนอิดออด บางคนคิดไปว่าคงเหมือนล่องแพเธคที่เมืองกาญจน์

แ่ต่คนชวนก็ไม่ได้อธิบายมากมาย ว่าเป็นอย่างไร

เราเองก็เดาถามไปว่า เป็นแพยาง หรือ แพไม้ไผ่

จึงได้คำตอบว่า เป็นแพไม้ไผ่ ที่เอาไม้ไผ่มามัดรวมกันห้าหกลำ

แล้วเราก็นั่งไป คนช่วยถ่อ หรือจะถ่อเองก็ว่ากันไป

แต่หากเจอน้ำเชี่ยว.......ก็คง อันตรายหน่อย



จากตัวเมืองเชียงใหม่ เรามุ่งหน้า สู่อำเภอหางดง อำเภอสันป่าตองและถึงเขตอำเภอแม่วางในที่สุด

แม่น้ำวางในยามนี้ ดูเหมือนจะราบเรียบมากกว่าการไหลเชี่ยวน่ากลัว แอดเวนเจอร์ เท่าไรนัก

เจ้าของทริปได้โทรติดต่อสั่งจองแพ เอาไว้เรียบร้อย ไปถึงที่ก็ลงแพกันเลย

ระหว่างทางการล่องไปบนแม่น้ำวาง ในระยะทางประมาณ 3-5 กิโล

อากาศร่มรื่น จากแมกไม้สูงใหญ่ที่แผ่ร่มเงาลงมากลางแม่น้ำ

และความเย็นของสายน้ำที่มากระทบ ก้นที่เรานั่งแช่

ทำให้นักผจญภัยน้อยๆๆสดชื่น ส่งเสียงกรี๊ดเล็กๆและตามด้วยเสียงหัวเราะ

ลืมความทุกข์ ความเศร้าไปได้ชั่วขณะ




มีร้านค้าตั้งเรียงรายตามริมน้ำ

นักท่องเที่ยว นั่งนอนพักผ่อนดื่มกินกันตามอัธยาศัย

หลายกลุ่มหลายคน ยิ้มและทักทา่ยกัน

บ้างก็กวักน้ำสาดมา ยังแพ

เด็กน้อยสาวหนุ่มต่างหยอกล่อกัน

ปีนขึ้นมาบนแพของเรา ผลักให้หนุ่มน้อยถ่อแพตกลงไปยังแม่น้ำ



มีแม่ช้างลูกช้าง อยู่ตามริมฝั่งน้ำบ้าง

เพราะที่นี่นอกจากมีการล่องแพ แล้ว ยังมีปางช้าง ไว้บริการนั่งชมป่าก่อนที่จะมาล่องแพ



บางช่วงต้องลงไปเดินบนริมฝั่ง เพราะกลัวกล้องเปียกน้ำ

น้ำไม่ได้ลึกมาก พอเดินลุยไปมากันได้

การได้สัมผัสกับน้ำก็ทำให้สดชื่น ดีไม่ใช่น้อย



แพที่เจ้าของกิจการจัดทำขึ้น

เมื่อถึงปลายทางจะถูกแก้มัดแล้วนำ ไม้ไผ่แยกเป็นลำ ขึ้นหลังรถกะบะ กลับไปที่ต้นทาง มัดรวมเป็นอีกครั้ง

จะมีวิธีการที่ดีกว่านี้ ในการประหยัดแรงรึป่าว...........

โอ้...ทะเล แสนงาม....


เก็บของใส่กระเป๋าไปเที่ยวทะเลกัน!!!!


อ่า... ตั้งแต่ทำงานมา ผมกับเพื่อนๆที่ ม.เกษตร ไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันเลยครับ
คราวนี้ก็เป็นโอกาสดีมากๆ ที่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน
ถึงแม้ว่า จะไปเสม็ด ที่เคยไปกันแล้ว แต่เสม็ดก็ยังคงสวย และเที่ยวกับเพื่อนๆ กลุ่มนี้ ก็สนุกและสบายใจทุกทีแหละครับ ^^

การเดินทางแบ่งเป็น 2 วันด้วยกันนะครับ เนื่องจากเพื่อนๆ ว่างไม่เหมือนกัน
วันแรกก็ไปกันก่อน และวันที่สองตามไปอีกส่วนนึง

เริ่มต้น ก็มีผม ตั๊ม ฉิม ไอ้โน๊ต และพี่เอ๋* การเดินทางเริ่มต้นแต่เช้าเลยครับตั้งแต่ 6 โมงโน่นน
ฟ้าสางคาตาเลย ก็ไปขึ้นรถตู้ที่เสาวรีย์ชัย คนละ 200 ถึงบ้านเพเลยครับ

พอไปถึงเราก็แวะทานอาหารเช้า แวะซื้อขนมที่โลตัส และก็ไปขึ้นเรือของ Resort ครับ
อ้ออ ผมพักที เสม็ดวิลล์ รีสอร์ท อ่าวหวายครับ ทางรีสอร์ทมีเรือมารับไปส่งถึงหาดเลยครับ

ถึงหาดแล้วประมาณเที่ยงวัน แต่ยังเข้าห้องไม่ได้ครับ เราเลยนั่งเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยกันก่อน
พอประมาณบ่ายโมง คนที่พักก่อนหน้า Check Out ออกไปครับ
เราก็ได้ห้องอันแสนสุข ก็เก็บข้าวของแล้วมานั่งเล่นที่ริมหาดครับ


อากาศดีมากๆ อ่าวหวายค่อนข้างเป็นหาดเงียบครับ เหมาะแก่การพักผ่อนส่วนตัว
อยู่ไกลหน่อย แต่หาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลใส สบายไปเลย พอเย็นก็เล่นน้ำครับ
อ่า.... เล่นน้ำทะเลมีความสุขจริงๆ

ตอนเย็นเราก็ทานข้าวที่รีสอร์ทเนี่ยแหละครับ ผมว่าอร่อยดีเหมือนกันนะ
ถือว่าใช้ได้โดยทีเดียว ทานเสร็จเราก็นั่งคุยกัน เล่นกีตาร์ ก่อนไปนอนพักผ่อนครับ

เช้าวันใหม่ ออกไปเล่นน้ำทะเลซักหน่อย แล้วสายๆ เพื่อนๆอีกกลุ่มนึงก็มาถึงครับ
มีเน็ต โน๊ต ญ. ส้ม และไอ้เช่ ครับ
ละแล้วก็ครบทีม แต่ยังไม่ได้ไปเที่ยวนะ เราต้องเก็บข้าวของ
รอ Check Out และ Check in ใหม่ ก่อน เพราะว่าวันที่สองเราไปนอนอีกห้องนึงครับ

บ่ายๆ เราไปนั่งเล่นไพ่กันริมทะเลครับ บรรยากาศดีโครตๆ เหมือนเดิม
เกือบเย็นๆ เราตกลงกันว่าจะไปกินอาหารทะเลกันที่ทรายแก้วกัน
ตอนแรกตั้งใจจะไปนั่งสองแถวครับ แต่ออกไปรอรถไม่มาซักที
พอดีมีรถอุทยานผ่านมาพอดี โชคดีมากๆ พี่ๆเจ้าหน้าที่อุทยานใจดีมากๆเลยครับ
ให้พวกเราติดรถฟรีๆ ไปจนเกือบถึงทรายแก้วเลยครับ (พอดีพี่เจ้าหน้าที่เค้าเลี้ยวรถไปอีกทาง)
พวกเราต่อรถสองแถวไปอีก 100 บาท ประหยัดเงินไปได้เยอะเลย

หาดทรายแก้ว เป็นหาดที่คนเยอะมากๆครับ แต่หาดทรายขาวยาวสุดลูกหูลูกตา
ร้านอาหารมากมายให้เลือกสรร เราเดินเล่นเลือกร้านได้ซักพัก เราก็ตกลงมากินร้านบ้านพลอยครับ

ร้านนี้ไม่มีใครเคยมาหรอกครับ แต่พอได้กินแล้ว โอ้โห อาหารดีมาก กุ้งตัวใหญ่มั๊กๆ
เราถือว่าใช้ได้กันสุดๆเลย ทริปนี้เรื่องอาหาร ถือว่าถูกใจไม่ผิดหวังครับ

กินเสร็จแล้วก็มืดแล้วเรานั่งคุยนั่งเล่นซักพัก ก็เหมารถสองแถวกลับอ่าวหวายครับ
ถึงที่พักเราก็นั่งเล่นไพ่ สังสรรค์ นั่งคุยกันครับ แต่ด้วยความเหนื่อย ประมาณตี หนึ่งก็เริ่มๆ ง่วงกันแล้ว
ตีหนึ่งกว่าๆ เลยแยกย้ายกันไปนอนครับ (แต่ใครมีแรง ก็นั่ง เมาท์ กันต่อ)

พอตื่นเช้า อ่าวิ่งลงทะเลอีกครั้งก่อนกลับๆๆ ^.^
เสร็จแล้วก็ทานอาหารเช้า ใกล้ๆ เที่ยวก็เก็บของ Check Out ครับ
ขึ้นเรือกลับบ้านเพ ทานข้าวซื้อของฝาก และก็กลับบ้านครับ

วันเวลาแห่งความสุข ก็มักจะสั้นเสมอครับ
แต่ยังไงก็ช่วยให้เราครายเครียดจากการทำงานได้เยอะเลย ครับ
มีความสุข อยากไปอีกๆๆ...

ไปไหน ไป DreamWorld กันดีกว่า


ว่าจะอัพบล็อก หัวข้อ Let go to travel นานแล้วค่ะ

แต่ มะมีโอกาสซักที เนื่องด้วย ความขี้เกียจของข้าพเจ้านั่นเอง...

ทีนี้ พอ หายขี้เกียจ ว่าง บวกกับ มะมีไรทำ เลยมาอัพค่ะ ..

หาไปหามาว่าจะ นำเสนอว่าไปเที่ยวไหนกะใครดี เพราะ ไปเที่ยวและถ่ายรูปมาก้อเยอะ แต่ ต้องเลือกค่ะ เพราะต้องเสียเวลานั่งทำรูป อีก .. เลยเลือก ..

ก่ .. เที่ยวดรีมเวิลด์ ละกันค่า



.

ตอนจบม.ปลายเคยคิดจะไปดรีมเวิลด์กัน ไม่ได้ไป เพิ่งคิดได้มาไปกันตอนแก่ เพื่อนๆ กลุ่มอื่นๆ เค้าอาจจะเลี้ยงส่งด้วยวิธีการ ไปเที่ยว ดื่ม กินกัน สถานที่กลางคืนๆ ของผู้ใหญ่ อะนะ(ก้อตามอายุ) แต่สำหรับพวกเราไม่!!! 25 ก้อไปเที่ยวดรีมเวิลด์แอ๊บเด็กได้จิงไหม 555




จริง ๆ เราก้อวางรูปมั่วๆ แต่เซตนี้ บังเอิญมีแต่บ้านยักษ์ เลยขออธิบายว่า เข้าบ้านยักษ์ค่า เข้าไปนั่ง นอน เล่น สารพัด ยังกะลิงแน่ะ



ถ่าย กะ ตัว แมสคอท (เขียนงี้ป่าวหว่า)




รูป นี้แอบผอมค่ะ ยัดตัวเองลงไปด้ายยย ทำได้ไงเนี่ย 55










สุด ท้ายดีกว่า ยิ่งดูนาน ๆ ยิ่งเลอะ ๆ ต๊องๆ เนอะ ๆ ส่งจูบ ๆ


จริง ๆ ถ่ายเยอะค่ะแต่เท่าที่ให้ดู ก้อเยอะแล้วเนาะ ทริปนี้สนุกค่ะร่าเริงกันเต็มที่ ไม่ได้เข้าเมืองหิมะ เพราะขี้เกียจกันค่ะ

ไปกะน้องสาวปุ้ยอีกสองคน เด็กๆ ซื้อบัตรแบบเต็มสตรีม แปบเดียวเข้าไปข้างในแล้วหายไปเฉยเลย ส่วน พี่ ๆ สี่คน เพิ่งจะรุ้สึกว่าตัวเองแก่ก้อตอนซื้อบัตรนี่ละ คิดกันแล้วคิดกันอีกว่าจะซื้อบัตรแบบไหนดี สาเหตุงกกันนั่นเอง ปรึกษากันจน เด็กๆ ไม่รอแล้นนน

สรุปได้บัตรรวมเครื่องเล่น 350 ค่ะ เล่นไม่ครบด้วย อะไรๆ ที่หวาดเสียวหนูม่ายยยอาวว 555 รู้งี้ซื้อ บัตร 150 เข้ามาถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า ..

มีอยู่ตอนนึงตอนเข้าบ้านผีสิง ทีแรกตั้งใจจะถ่ายรูปผีมาโชว์ และเรียงกันว่าใครอยุ่หน้าสุด ตรงกลางและหลังสุด เป่ายิ่งฉุบไปมาได้คนสุดท้ายค่ะ

ไม่ได้ถ่ายรุปผี มาเลยอ่า เหตุเพราะ.... เด็กเปรตค่า
เปรตยังไงจะเล่าให้ฟัง ก้อ เข้าไปพร้อมๆ กับเด็กประถมจากโรงเรียนอะไรไม่รุ เค้ามาทัศนศึกษา เจ้าตัวดีสองตัวแกล้งเพื่อนด้วยการ ลงไปนอนกับพื้น แล้วโผล่มา แบร่ เจ้ากรรม มันแกล้งผิดกลุ่มอะ มันดันมาแกล้งป้า ๆ อย่างพวกช้าน แล้วไม่พอข้างในมันมืดอ่ะ พอเวลาหัวเราะมันจะเหมือนเป็นเด็ก หัวกะโหลกฟันเขียวๆ สะท้อนแสง ลอยไปมา ตกใจสุดยอดดด


ขากลับ เหนื่อยสุดใจ หลับกันทั้งรถ ยกเว้น ยัยเก๋ ต้องขับรถ 555 ก้อสงสารมันน๊ะ แต่ สงสารตัวเองมากกว่า ฮ่าๆๆๆๆ

บรรยากาศแบบวันวาน วันนี้ที่..เพลินวาน


เมื่อวันเสาร์มีโอกาสได้ไปเที่ยวเพลินวาน ที่หัวหินมา ด้วยความที่ไม่ได้นัด แล้วก็ปุบปับๆ ไป บอกเพื่อนว่าหยุดยาวเลย เพื่อนก็เลยชวนไปเพลินวานซะเลย เราก็คนใจง่าย เรื่องเที่ยวเนีย ไปไหนก็ไป เออๆ ออๆ ไปเลย ก็เลยเอาเรื่องราว และรูปมาฝากให้ดูกันค่ะ (ขออกตัวเรื่องถ่ายภาพก่อนนะคะว่าอาจจะถ่ายไม่สวย อิอิ)

เริ่มต้นเดินทางนัดเจอกันที่เซ็นจูรี่ อนุเสาวรีย์ ตอน 7 โมงเช้า ไปถึงตั้งแต่ยังไม่ 7 โมง ปรากฎว่าต้องรอคุณเพือนอีกประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ดีที่มี Twitter ให้ jibjib ให้เล่นไปเพลินๆ อิอิ พอเพื่อนมาถึงก็ลงไปที่คิวรถตู้ ไปหัวหิน ค่ารถคนละ 200 นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งน่าจะได้ ไปถึงหัวหินสิ่งแรกที่ทำคือกินก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไปนั่งกินข้าวมันไก่ ราคาจานละ 25 บาท ถือว่าก็โอเคอยู่ ไก่นุ่มดี แต่ว่าน้ำจิ้มเหมือนเอาซีอิ้วหวานมาใส่ข่ากับพริกแค่นั้น ก็เลยไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ น้ำซุปก็ไม่มีให้ -*- (ขอแอบบ่นนิดนึง) ถ้าจะกินน้ำซุปต้องสั่งพวกตุ๋นยาจีนเป็นถ้วยต่างหากอีกที

ชายหาดหัวหิน

พออิ่มแล้วก็เดินไปทะเลหัวหิน ที่ชายหาด ปูเยอะมากๆๆๆ จะเห็นว่าตรงทรายเป็นรูปูกลมๆ ตลอดหาที่เรียบๆ แทบไม่ได้ เดินไป ยังกลัวว่าจะเหยียบมันหรือเปล่า แดดที่นี่แรงมากๆๆ เผาผิวจนไหม้เลยทีเดียว ตั้งใจว่าจะเดินเล่นไม่ไกล แล้วเดี๋ยวค่อยหาทางขึ้น แต่ชายหาดที่นี่มีรีสอร์ทอยู่ติดๆ กันไปหมด จะเดินทะลุขึ้นถนนใหญ่ก็กลัวเค้าจะไม่ให้เดินผ่าน ก็ต้องเดินกันไปให้แดดมันเผา อย่างเมื่อยเลยทีเดียว

โรงแรมริมหาดหัวหิน ส่วนใหญ่มีแต่นักท่องเที่ยวต่างประเทศ

หลังจากเดินชายหาดก็ตั้งใจว่าจะไปร้านกาแฟ ข้างบ้าน ที่ซอย 83 พอเดินขึ้นที่ถนนใหญ่ได้ เห็นว่ามีคิวรถสองแถวจอดอยู่ กับพี่ผู้ชายอีกคนนึง ก็เลยถามว่าจะไปซอย 83 ไปไหม เค้าก็บอกว่าไป ด้วยความเข้าใจผิดที่ว่าเค้าน่าจะเป็นคนขับรถสองแถวอ่ะ แต่จริงๆ แล้วมอเตอร์ไซต์เค้าจอดอยู่ข้างๆ จากที่จะนั่งสองแถวกลายเป็นต้องนั่งมอเตอร์ไซต์แทน แล้วซ้อน 3 (ดีนะไม่โดนจับ) เสียค่ารถคนละ 20 บาท ที่เด็ดกว่านั้น พี่คนขับแกรเล่นออกรถแบบพุ่งไปไม่ดูรถทางตรงเลย เลยเบรกกันเอี๊ยดอ๊าด ส่วนผู้โดยสารสาวสองคนที่ซ้อนอยู่ ไม่ทำอะไร นอกจากกรี๊ดใส่หูพี่คนขับอย่างเดียว ฮาาาาาา


ร้านกาแฟ ข้างบ้าน

แต่ก็ไปถึงร้านกาแฟข้างบ้านได้อย่างปลอดภัย แต่ว่าหัวฟูไปหน่อยนะ บรรยากาศที่ร้านก็น่านั่ง ถ้านั่งข้างนอกจะมีต้นไม้เยอะหน่อยร่มรื่นไปอีกแบบ แต่สองสาวแบบว่าร้อนมากมาย ขอหลบไปนั่งในห้องแอร์แล้วกัน ที่นี่มีบริการอินเทอร์เน็ตด้วยคิดชั่วโมงละ 30 บาท

ส่วนกาแฟ ก็รสชาติดี ราคาไม่แพง เราสั่งคาปูชิโน่เย็นไป ราคาแก้วนึงก็ประมาณ 45-50 แล้วเลยสั่งเค้กบลูเบอร์รี่ชีสพายไปด้วย รสชาติก็อร่อยดีเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าบิสกิตข้างล่างมันค่อนข้างหยาบๆ พอเคี้ยวแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังถือว่าโอเคอยู่ดี ที่ร้านนี้ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อแล้ว take home มากกว่านั่งที่ร้าน อ้อ ที่ร้านนี้เป็นร้านของดาราช่อง 7 ด้วย แต่ว่าไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่เป็นลูกครี่งคาดว่าน่าจะครึ่งเยอรมันนะ

คาปูชิโนเย็น คาปูชิโนกับเค้กบลูเบอร์รี่พาย

กินอิ่มจากร้านกาแฟข้างบ้านจบจากร้านกาแฟ ข้างบ้าน ก็ไปต่อที่สถานีรถไฟหัวหินเพื่อถ่ายรูปกัน จริงๆ เจ้าของร้านเค้าน่าจะปลื้มใจนะว่า ลูกค้าลงทุนและตั้งใจมากินจริงๆ เพราะต้องนั่งมอเตอร์ไซค์มา แล้วนั่งรถสองแถวกลับ จากซอย 83 ไปสถานีรถไฟหัวหิน สองแถวคิดเงิน 100 บาท

และแน่นอนว่าถ้าไปสถานีรถไฟแล้ว ที่ที่จะต้องถ่ายรูปก็ต้องเป็นป้ายสถานีแน่นอน แทบจะต้องตบตีกับคนอื่น หรือไม่ก็ต้องรอคิวในการเข้าไปถ่ายนิดนึง แต่ก็นะป้ายเค้าสวยจริง สีเด่นดี อิอิ


แล้วการที่ไปเที่ยวกันสองคนแล้วอยากได้รูปคู่ ก็ต้องอาศัยการตั้งกล้องนี่หล่ะ แล้วรูปที่ได้ก็จะออกมาเป็นแบบนี้ ฮาาาาา



พอถ่ายรูปกันจนพอใจ สถานที่ต่อไป ก็เป็นจุดหมายปลายทางที่เราต้องการไปกันในวันนี้ นั่นก็คือ เพลินวาน จากสถานีรถไฟ เดินไปยังตลาดโต้รุ่ง หน้าร้าน 7-11 จะมีรถสองแถวขับผ่านเพลินวาน จริงๆ แล้วถ้าไม่แวะมาที่นี่ ตรงบริเวณร้านเฟอร์นิเจอร์อินเด็กซ์เพลินวานเค้าจะมีรถรับส่งให้ฟรี สามารถนั่งไปที่เพลินวานได้เลย ส่วนรถสองแถวที่ขึ้นมาจากตลาดไปเพลินวานก็คิดราคาคนละ 10 บาท

ถ้าใครจะไปเพลินวาน ลองเข้าไปเช็คดูก่อนได้ว่าวันไหนมีกิจกรรมอะไรบ้าง เช่นหนังกลางแปลง ดนตรี อย่างวันเสาร์ที่ไปนั้นมีวงดนตรี ตอนบ่าย 3 โมงเย็น อยากบอกว่านักร้องร้องเพลงเพราะมากๆๆ แล้วแต่ละเพลงที่เลือกมานั้นก็เพราะอีกจริงๆ ส่วนก่อนที่นักดนตรีจะตั้งวงในเพลินวานเค้าก็จะเปิดเพลงคลอตลอดเวลา เพลงส่วนใหญ่ก็จะเก่าๆ สักหน่อย รุ่นประมาณใหม่ เจริญปุระ อัลบั้มแรกๆ
จิ้กโก๋หน่อยก็แนวบิลลี่ โอแกน ให้เข้ากับบรรยากาศยุค 70

ในเพลินวานเค้าจะมีร้านค้าอยู่หลายร้าน เช่น ร้านกาแฟ ร้านหวานเย็น ร้านห้องเสื้อ ร้านของเล่นเก่าๆ ร้านเหล้าก็มีแต่ว่าจะเปิดช่วงเย็นๆ หน่อย ส่วนบริเวณด้านล่างก็จะมีรถเข็นขายน้ำอัดแก๊ส คล้ายๆ น้ำอัดลมนั่นหล่ะ แต่ว่าที่นี่ของกินราคาค่อนข้างแพงหน่อย แต่ก็ยังแพงในระดับที่รับได้อยู่ อย่างน้ำอัดแก๊สแก้วนึงก็ 35 บาท หวานเย็น น้ำแข็งใสที่สั่งมา ใส่เครื่อง 2 อย่างราคาก็ 35 บาทเหมือนกัน แต่ก็ถือว่ายังพอรับได้อยู่ สถานที่เค้าก็ให้เข้าฟรีอ่ะนะ

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แอ่วน่าน ใครว่าไม่สนุกล่ะ



น่านร้อนมาก มาก

สาวโสดต้องฉลองวาเวนไทน์ กับ สาวโสดด้วยกัน....ไปหาผู้ชายเอาดาบหน้า 55555



ออกจาก กทม ด้วยสมบัติทัวร์

หนาว อ่ะ ตอนเช้า......

ขึ้นรถตู้ที่จองไว้ตอน 6 โมง.....ไปที่ด่านชายแดนไทย-ลาว




ไป ต่อที่ห้วยโก๋น.......โดนเรียกตรวจบัตรด้วยยยยยยยย 55555


แล้ว ก็วัดหนองแดง.....วัดเงียบมาก มาก เจอพีธีสืบชะตาต้นโพธิ์....ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดน่าน


แล้ว ก็ขึ้น....ดอยภูคา....ด้วยความหวังว่าจะเจอดอกชมพูภูคา..........แต่หาไม่เจอ เจอแต่ต้น กับช่อดอกที่ยังไม่บาน...เจ้าหน้าที่บอกว่าพรุ่งนี้ให้เข้าไปดูที่เส้นทาง ศึกษาธรรมชาติ มีอยู่ 1 ต้นกำลังจะบาน



วันรุ่งขึ้น..เดินไป เหนื่อยมาก มาก....ต้องมีไม้ค้ำยันเดิน ขึ้นไปมีอยู่ต้นเดียว T T เห็นดอกไกล...ไกล อ่าน่ะ.....



ออก จากภูคาไปดู บ่อเกลือภูเขา.....มีไอโอดีนด้วยยยยยยย บ่อลึกมาก มาก เกลือก็เค็มดี...เป็นบ่อเกลือโบราณ


นั่งรถมึนหัวสุด สุด โค้งเยอะต้องหลับไปตลอดทาง



ไป แวะภูฟ้า....ไม่มีอะไรเลย....เปลี่ยนแผนไปนอนเต็นท์ที่ ดาวเสมอดอย ดอยเสมอดาว.......เพราะว่าต้องกลับกรุงเทพไปทำงานวันอังคาร โชคดีเจอกรุ๊ปของห้อง BP ไม่งั้นคงนอนกันอยู่ 2 เต็นท์แน่ แน่...ขอบคุณสำหรับข้าวปลาที่แบ่งปันก๊าบ....ซึ้ง....คืนนี้แอบร้อนอ่ะ...หรือ เพราะว่านอนไม่สบาย และลมไม่มี

ปวดหลัง นอนไม่หลับ....ไม่ได้นอนเต็นท์มานานเท่าไหร่ แล้วเนี่ยยยยยยย เรา



ออก จาก...ดอยเสมอดาวแต่เช้า เพราะว่าหิวมาก -*- แวะผาชู้นิดหน่อย นึกว่าจะมีของกิน วันจันทร์ไม่มีคนเที่ยว ร้านอาหารไม่เปิด ทนหิวต่อไป...

กิน ก๋วยเตี๋ยวเรือตอนเช้าที่นาน้อย....แล้วไปต่อที่ เสาดิน กับคอกเสือ....สวยดี ชอบ ชอบ มีต้นดิ๊กเดียมให้เกาเล่นด้วย...แต่ไม่ยักสั่นแฮะ สงสัยต้องให้ หนุ่ม หนุ่มเกา



จาก นั้นก็เข้าเมืองน่าน เที่ยวในตัวเมือง....ไหว้พระธาตุแช่แห้ง...และวัดต่างๆ ชมพิพิธภัณท์จังหวัดน่าน งาช้างดำ...เตรียมตัวขึ้นรถกลับ กทม ด้วยบริการสมบัติทัวร์อีกครั้งรอบ 1 ทุ่ม





จบ ทริปแบบทรมานเล็กน้อยยยยยย ถึงกทม ตีห้า วันอังคาร กลับมาที่ทำงานอาบน้ำแต่งตัวทำงานเลยยยยยย ตอน 7 โมง กว่าจะได้กลับบ้านก็ 4 โมงกว่า ง่วงมาก มารถติด รถเมล์ก็คนเยอะ -*- แง่มมมมมมม จนบัดนี้ยังนอนไม่พอเลยยย วันเสาร์นี้ต้องออกอีกแล้ว

พาไปนั่งชิวๆ กับรถม้าที่ลำปาง



ใครอยากไปเที่ยวชมรถม้าลำปางยกมือขึ้นครับ…

ถ้าใครอยากไป ก็ขึ้น " ไทม์แมชีน " ย้อนยุคได้เลย นัดขึ้นรถด่วนเชียงใหม่ที่หัวลำโพงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘



เรานอนในขบวนรถ ๑ คืน แล้วนั่งรถอีกครึ่งวัน สมัยก่อน รถวิ่งช้าหน่อยครับ รถไฟแวะเติมน้ำเติมฟืนตลอดทาง ทำใจเย็นๆ มองนอกหน้าต่างสิ สองข้างทางน่าดูออก อ้า… ถึงแล้วครับ เราพากันลงที่สถานี นครลำปาง

นั่นไง… เจอแล้ว " รถม้าลำปาง " จอดรอรับที่หน้าสถานีเป็นแถวเลย…




ที่ลำปางในปัจจุบัน [ หรือเขลางนครในอดีต ] ทุกหนทุกแห่งบนท้องถนน ทั้งคนท้องถิ่นและอาคันตุกะไม่มีวันจะหลีกรถม้าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตรอก , ซอก , ซอย , หรือถนนใหญ่ ฉะเพาะอย่างยิ่งสถานีรถไฟ , ตลาดสด , และโรงภาพยนต์ อันเป็นย่านชุมชน จะมีรถม้าจอดรอรับผู้โดยสารอยู่เป็นทิวแถว

รถม้าจึงได้กลายเป็น " สัญลักษณ์ " อย่างหนึ่งของลำปาง เพราะเกือบจะกล่าวได้ว่าในเมืองไทย , ไม่มีรถม้าที่ไหน " เหลืออยู่ " อีกแล้ว

ชีวิตประจำวันของคนรถม้าลำปางเป็นชีวิตที่น่าเห็นใจ เพราะต้อง " ตื่นก่อนและนอนทีหลัง " ตามแบบฉบับของผู้ที่เกิดมาเพื่อรับใช้ประชาชน

ชาวรถม้าที่นำรถออกตระเวนรับส่งผู้โดยสารเป็นประจำวันนั้น ต้องตื่นแต่ก่อนไก่และต้องนึกถึงท้องของสัตว์คู่ยากก่อนท้องของตัวเอง ฉะนั้นม้าทุกตัวก่อนจะนำไปเทียมรถจะต้องป้อนอาหารให้อิ่ม เพราะม้าก็เช่นเดียวกับกองทัพซึ่งนโปเลียนบอกว่าต้อง " เดินด้วยท้อง "

ลำปางก็เหมือนจังหวัดอื่นๆ ที่เจริญแล้วทั้งหลาย มีรถยนต์ [ ทั้งเก๋งโอ่อ่าและจิ๊ปหลังสงคราม ] มีสามล้อ , มีจักรยาน [ ทั้งติดเครื่องและเท้าถีบ ] อยู่มากมาย แม้กระนั้นแล้ว " รถม้า " ก็ยังเป็นที่นิยมของผู้โดยสารอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่า , ชาวลำปางรู้อยู่ท่วมหัวใจว่า รถม้าเป็นสมบัติของท้องถิ่น , เป็นอาชีพของชาวลำปางเอง

ที่หมู่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัยแถบฝั่งแม่น้ำวังนั้น เป็นศูนย์กลางของรถม้า ผลิตขึ้นที่นั่น , มีโรงงานซ่อมที่นั่น และพูดได้ว่าเป็นหมู่บ้าน " รถม้า " ล้วนๆ ทุกหลังคาเรือนยังชีพอยู่ด้วย " รถม้า " ทั้งนั้น

ออกจากบ้านแต่อรุณยังไม่ฉาบขอบฟ้า กลับมาก็ย่ำสนธยา โดยที่คนขับและม้าต่างก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาตลอดวัน พอกลับถึงบ้าน , เจ้าของก็จะนำ " นักวิ่งทนที่ไม่มีวันตับแตกตาย " เดินวนเวียนไปรอบๆ ลานบ้านอันร่มรื่น เพื่อให้รับลมเย็น - จนเหงื่อแห้งแล้วพาไปอาบน้ำ จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น - หมดภาระไปวันหนึ่ง

รถม้าทุกคัน เจ้าของจะมีม้าไว้สองตัวเพื่อสับเปลี่ยนกัน " ไอ้ผ่าน " วิ่งรอบกลางวัน - ตกกลางคืนก็ได้พักและตกเป็นหน้าที่ของ " ไอ้เมฆ " ที่จะต้องวิ่งทนแทนบ้าง

ที่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัย อันเป็นนิคมของชาว " รถม้า " ทุกหลังคาเรือนจะมีรถม้าเป็นสมบัติส่วนตัว… มีบ้านแบบไตยวน [ คนเมือง ] เป็นที่พักอาศัย… มีลูกหลานสืบสกุลและรับมรดก " รถม้า " ผู้ชายก็ทำหน้าที่สารถี… ผู้หญิงรับภาระทางบ้าน… ที่ยังเด็กเล็กและวัยรุ่นก็ช่วยกันจัดหาอาหารให้ม้า หรือฝึกหัดที่จะรับหน้าที่แทนผู้ใหญ่ต่อไป

ด้วยประการฉะนี้เอง , รถม้าลำปางจึงยังคงมีอยู่ - และจะต้องมีอยู่ตลอดไป ผิดกับท้องถิ่นอื่นซึ่งแม้ครั้งหนึ่งจะเคยมี - แต่บัดนี้แม้แต่ซากก็ไม่มีเหลือแล้ว…

เพราะเหตุที่ " รถม้า " ต้องอาศัยแรงม้าจริงๆ ไม่ใช่ " แรงม้า " ที่เป็นเครื่องยนต์เยี่ยงยานยนต์สมัยใหม่ ดังนั้น , เมื่อว่างจากงานประจำวัน หน้าที่ของ " คนทางบ้าน " ก็คือตระเตรียมอาหารสำหรับม้าไว้ให้พรักพร้อม อาหารประจำอันเปรียบประหนึ่ง " น้ำมันเชื้อเพลิง " ของม้ามีฟางแห้งที่หั่นหยาบๆ ผสมกับรำอ่อนคลุกน้ำ เพื่อให้กินสะดวก , ย่อยง่าย , และอิ่มทน

งานจัดอาหารม้าประจำวันเช่นนี้ " คนทางบ้าน " ซึ่งบางทีก็ลูกหรือหลานก็รับเอาไปจัดเตรียมไว้ไม่มีขาดตกบกพร่อง เพราะเป็น " หน้าที่ " อย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน…


กลางหมู่บ้านอันเป็น " นิคม " ของรถม้าลำปางนั้น มีโรงงานสร้างและซ่อมรถม้าอยู่เป็นประจำ ส่วนประกอบทุกชิ้นล้วน Made in Lampang ทั้งสิ้น โดยมีนายช่างผู้ชำนาญและผ่านการประกอบอาชีพขับขี่ " รถม้า " มาแล้วนับสิบปี เป็นผู้อำนวยการและดำเนินการสร้าง - ซ่อมชิ้นส่วนประกอบทุกชิ้นของรถม้าขึ้นมาด้วยมือของเขาเองทั้งสิ้น

รถม้าทุกคันที่กระจายอยู่ทั่วเวียงลำปาง รับผู้โดยสารเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า นับเป็นเวลา ๔๐ ปีเศษมาแล้ว ก็ล้วน " ผลิต " จากหมู่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัยนี่เอง…


เมื่อประกอบเป็นตัวรถแล้ว… มีม้าใหม่ไม่เคยเทียมรถและวิ่งทนมาก่อน ก็จำเป็นต้องฝึกหัดให้มันคุ้นคนและท้องถนนเสียก่อน โดยจัดเทียมรถมีสารถีและผู้โดยสาร [ สมมุติ ] แล้วมีคนจูงบังเหียนพามันออกวิ่งวนเวียนไปตามถนนสายต่างๆ ฝึกกันอยู่เช่นนั้น , วันแล้ววันเล่าจนกว่าม้าจะคุ้นกับ " งาน " ของมันและเข้าใจ " สัญญาณ " จากนายสารถีเพียงพอ จึงจะออกวิ่งรับส่งผู้โดยสารหากินได้ต่อไป ไม่ใช่ว่ามีม้าเอาเข้าเทียมรถแล้วก็ใช้ได้ ชีวิตของ " รถม้าลำปาง " เริ่มต้น และเป็นมาเช่นนี้เอง

เป็นยังไงครับ คงพอเข้าใจชีวิต " คนรถม้า " ในอดีตกันพอสมควรนะครับ ตอนนี้ เข้า " ไทม์แมชีน " กลับบ้านกันดีกว่าครับ หากใครไปเที่ยวลำปางในปัจจุบัน อย่าลืมอุดหนุน " รถม้าลำปาง " กันบ้าง เพื่อต่อชีวิตสัญลักษณ์เมืองลำปางเอาไว้นานๆ ครับ